ในระบบทำความเย็นและระบบปรับอากาศเดิมที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบันจะอาศัยหลักการของเครื่องกลด้วยระบบแบบอัดไอ
ระบบดงกล่าวต้องการปริมาณพลังงานในรูปของพลังงานกล
เพื่อไปขับเคลื่อนให้เกิดการทำงาน โดยผ่านทางเครื่องอัดน้ำยา
(compressor)
ดังนั้นจึงได้มีการคิดค้นวิธีการใหม่เพื่อลดการใช้พลังงาน
ระบบดังกล่าวคือ ระบบแบบดูดซึม
(Absorption)
พลังงานที่ต้องการใช้ในระบบเพื่อให้เกิดการทำงานจะอยู่ในรูปของพลังงานความร้อนเป็นส่วนใหญ่ระบบนี้นอกจากจะเป็นการประหยัดพลังงานแล้ว
ยังช่วยป้องกันและรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ประเภทของระบบทำความเย็น
แหล่งพลังความร้อนที่กล่าวมาแล้วถึงรูปแบบพลังงานความร้อนที่นำมาใช้ในระบบ
คือ ไอน้ำและน้ำร้อน ส่วนแหล่งพลังงานที่จะนำมาใช้เพื่อผลิตพลังงานในรูปแบบดังกล่าวจะมาจากหลายแหล่งต่าง
ๆ ดังนี้ ของเหลวที่ใช้ในระบบทำความเย็นแบบดูดซึมประกอบด้วยสารทำความเย็นและสารดูดซึมในปัจจุบันที่นิยมมาใช้สำหรับทำความเย็น คือ น้ำกลั่น ส่วนสารดูดซึม คือ ลิเธียมโบร์ไมด์ (LiBr) ข้อเปรียบเทียบระหว่างระบบทำความเย็นแบบอัดไอและแบบดูดซึม
เมื่อเปรียบเทียบการทำงานของระบบทำความเย็น 2 แบบ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือ แบบอัดไอ และแบบดูดซึมพบว่าระบบดูดซึมจำเป็นต้องใช้แหล่งความร้อนที่มีอุณหภูมิ เพื่อให้เพียงพอที่จะแยกสารความเย็นออกจากสารดูดซึมได้ ดังนั้นปริมาณพลังงานที่ต้องการทำงานจึงมีปริมาณมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับระบบอัดไอ ดังแสดงในรูปที่ 4 ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบการทำงานของระบบทำความเย็นทั้ง 2 ระบบ ปริมาณความร้อนส่วนนี้ในที่สุดก็จะถูกระบายออกที่ตัวควบแน่น ดังนั้นจึงทำให้เกิดการสูญเสียพลังงาน ดังนั้นเมื่อพิจารณาปริมาณความร้อนในเชิงเทอร์โมไดนามิกส์ของทั้ง 2 แบบแล้ว วิเคราะห์ค่าประสิทธิภาพ COP ประมาณ 3.5 ในขณะที่ระบบดูดซึมมีค่า COP ประมาณ 1.2 แต่ระบบดูดซึมจะมีข้อได้เปรียบกว่าระบบอัดไอในเรื่องของพลังงาน ซึ่งก็คือแหล่งพลังความร้อนที่สามารถใช้ร่วมกับระบบหรือกระบวนหรือกระบวนการผลิตอื่น ๆ ได้ตามที่กล่าวมาแล้วในหัวข้อแหล่งพลังงานความร้อนและจะได้กล่าวต่อไปในหัวข้อจุดเด่นของระบบทำความเย็นแบบดูดซึม
|
||
ที่มา : เอกสารเผยแพร่ความรู้เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย |