การลดค่าไฟฟ้าโดยการใช้ตัวคาปาซิเตอร์แก้ค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์
นายไฟฟ้า

                กำลังไฟฟ้าในระบบไฟฟ้ากระแสสลับทั่วไป สามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วนคือ

                  1. กำลังไฟฟ้าที่ใช้งาน หรือกำลังงานจริง (active or real power) มีหน่วยเป็นกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งจะเป็นกำลังงาน
                     ที่เครื่องจักรอุปกรณ์จะนำไปใช้งานจริง เช่น เปลี่ยนเป็นความร้อน แสงสว่าง หรือไปเป็นทอร์กที่ใช้ในการ
                     ขับเคลื่อน

                  2. กำลังรีแอคตีฟ (reactive power ,Q (VAR) )  เป็นพลังงานที่ใช้สร้างสนามแม่เหล็ก เพื่อเป็น ตัวกลางในการ
                      แปรรูปพลังงานในอุปกรณ์ไฟฟ้า   เช่น มอเตอร์ , หม้อแปลง , หลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ ล้วนแล้วแต่ต้อง
                      การกำลังรีแอกตีฟในการทำงานทั้งสิ้น แต่พลังงานจริงๆ ที่ได้รับจากอุปกรณ์ เหล่านี้       ไม่ได้เกิดจากกำลัง
                      รีแอกตีฟ แต่เกิดจากกำลังไฟฟ้าที่ใช้งาน ดังนั้นถ้าในโรงงานมีอุปกรณ์เหล่านี้ จำนวนมาก     ความต้องการ
                      กำลังรีแอกตีฟก็จะมากขึ้นด้วย กำลังรีแอกตีฟจะส่งผลให้กระแส ไฟฟ้าที่ไหลเข้าอุปกรณ์มีค่ามากขึ้น ซึ่งการ
                      เพิ่มขึ้นของกระแสไฟฟ้าจะส่งผลเสียกับระบบไฟฟ้าดังนี้
                          2.1 อุปกรณ์ป้องกันระบบไฟฟ้าในโรงงานจะต้องมีอัตราพิกัดการทนกระแสสูงขึ้นตาม
                          2.2 กระแสไฟฟ้าที่ไหลในสายไฟฟ้าจะมีค่าสูงขึ้น ทำให้เกิดการสูญเสียในสายไฟฟ้ามากขึ้น    รวมถึงเกิด
                                แรงดันตกคร่อมในสายไฟฟ้าสูงขึ้นตาม
                          2.3 เมื่อกระแสไฟฟ้าทั้งโรงงานเพิ่มสูงขึ้น     หม้อแปลงซึ่งเป็นตัวจ่ายกระแสไฟฟ้าก็จะต้องทำงานหนักขึ้น
                                และทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าใดนัก

                   3. อุปกรณ์หรือเครื่องจักรกลไฟฟ้านั้นต้องการผลรวมแบบเวกเตอร์ของกำลังงานทั้งสองส่วนนี้    จะได้กำลังงาน
                       ปรากฏ (apparent power ) มีหน่วยเป็นกิโลโวลต์แอมแปร์ (kVA) ซึ่งก็คือกำลัง งานที่ต้องจ่ายให้กับเครื่องจักร
                       หรืออุปกรณ์ไฟฟ้านั้น ๆ ค่ากำลังงานปรากฏ จะมีค่าเท่ากับค่าแรงดันคูณกับค่ากระแส ค่านี้วัดออกมาในรูปของ
                       ค่า RMS หากในระบบไฟฟ้ามีการใช้ค่า กำลังรีแอกตีฟ อยู่     จะทำค่ากำลังงานปรากฏ มากกว่าค่ากำลังไฟฟ้า
                       ที่ใช้งานเสมอ ค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ ( power factor , pf )   ก็คือค่าอัตราส่วนระหว่างกำลังงานจริงต่อกำลังงาน
                       ปรากฏ    โดยค่านี้จะทำให้เราทราบว่าเครื่องจักรอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือระบบไฟฟ้าต่างๆ นั้นใช้กำลังงานจริงเป็น
                       สัดส่วนเท่า ไร ค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์สูง ย่อมแสดงถึงประสิทธิภาพในการใช้งานเครื่องจักรอุปกรณ์ หรือระบบ
                       นั้นสูงตามไปด้วย ค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ จะมีค่าอยู่ระหว่าง 0 - 1 ซึ่งขึ้นอยู่ชนิดอุปกรณ์ ดังแสดงในตารางที่1

ตารางที่ 1 แสดงค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์โดยประมาณของอุปกรณ์ไฟฟ้า

อุปกรณ์
ค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์
   อินดัคชั่นมอเตอร์ (Induction Motor)
ทำงานที่ 0 %ของพิกัด    -------> 0.17
ทำงานที่ 25%ของพิกัด
  -------> 0.55
ทำงานที่ 50%ของพิกัด   -------> 0.73
ทำงานที่ 75%ของพิกัด   -------> 0.80
ทำงานที่ 100 %
ของพิกัด -----> 0.85
  หลอดไฟฟ้าชนิดไส้(Incandescent Light)
1
  หลอดไฟฟ้าชนิดฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Light)
0.5
  หลอดไฟฟ้าชนิดดิสชาร์จ (Discharge Light)
0.4-0.6
  เตาหลอม (Furnaces)
0.8-1
  เครื่องมือเชื่อม (Welding Device)
0.7-0.9

                   การแก้ไขปรับปรุงค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ ของระบบไฟฟ้าให้มีค่าสูงขึ้นจะก่อให้เกิดผลดีดังเช่น

                      1. ลดกระแสไฟฟ้าที่ไหลอยู่ในอุปกรณ์ หรือระบบไฟฟ้านั้น ๆ ซึ่งจะทำให้ลดค่ากำลังงานสูญเสียในระบบไฟฟ้าลง
                          จะมีผลดีต่อ อุปกรณ์ต่าง ๆ มีอายุการใช้งานนานขึ้น

                      2. ลดแรงดันไฟฟ้าตก (voltage drop) ในระบบไฟฟ้าลง

                      3. ลดค่าไฟฟ้าลง โดย
                        - ลดค่าพลังงานไฟฟ้า ( kW-hr) เนื่องจากมีการลดกระแสไฟฟ้าที่สูญเสียลง
                        - ลดค่าความต้องการพลังงาานไฟฟ้ารีแอกตีฟ ซึ่งทางการไฟฟ้ากำหนดไว้ว่า ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์
                          (lag) ในช่วงเดือนใด มีความต้องการพลังงานไฟฟ้ารีแอกตีฟเฉลี่ยใน15 นาทีที่สูงสุด   เมื่อคิดเป็นกิโลวาร์
                          ( maximum 15 minute kilovar demand ) เกินกว่าร้อยละ 63   ของค่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าแอกตีฟเฉลี่ยใน
                          15 นาทีที่สูงสุด เมื่อคิดเป็นกิโลวัตต์ ( maximun 15 minute kilowatt demand ) แล้ว เฉพาะส่วนที่เกินจะต้องเสียค่า
                           เพาเวอร์ในอัตรากิโลวาร์ละ 14.02 บาท (จาก "อัตราค่าไฟฟ้า ตุลาคม 2543 " ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)


                            จากผลดีเบื้องต้นดังกล่าวนี้ จึงทำให้เราน่าจะหันมาให้ความสนใจ ว่าเราจะปรับปรุงค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ให้สูง
                        ขึ้นได้อย่างไรใช้เงินลงทุนเท่าไหร่คุ้มค่าในการลงทุนหรือไม   ่เพราะท่านอาจจะเป็นผู้หนึ่งที่กำลังจ่ายค่าเพาเวอร์
                         แฟกเตอร์นี้โดยไม่รู้ตัวอยู่ก็ได้

                         
                          หลักการเบื้องต้นเกี่ยวกับค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์

                         จากที่
กล่าวมาถึงความสัมพันธ์ระหว่างกำลังงานทั้งสามประเภทสามารถเขียนเป็นภาพแบบเวกเตอร์ได้ดังรูปที่ 1
                     โดยค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์หาได้จาก

 


รูปที่ 1 เวกเตอร์ความสัมพันธ์ของกระแสและกำลังงาน

                    ค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ อาจจะเป็นแบบตามหลัง ( lagging ) หรือแบบนำหน้า ( leading ) ก็ได้ (ตามหลักการของ
                เวกเตอร์ ) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทิศทางการไหลของกำลังงานที่ใช้จริง และกำลังงานรีแอกตีฟ ถ้ากำลังงานทั้งสองนี้ไปใน
                ทิศทางเดียวกัน ค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์จะเป็นแบบตามหลัง แต่ถ้าใช้คนละทิศทางแล้ว ค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์จะ
                 เป็นนำหน้า

                    การปรับปรุง ค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์
                     เราสามารถปรับปรุงค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์ ให้มีค่าสูงขึ้นได้สองวิธีคือ
                    1. ใช้คาปาซิเตอร์ ต่อเข้าไปในระบบไฟฟ้านั้น ๆ
                    2. ใช้มอเตอร์ชิงโครนัส ติดตั้งแทนมอเตอร์เดิมที่ใช้มอเตอร์แบบเหนี่ยวนำแต่การแก้ไขเพาเวอร์แฟกเตอร์จะเกิด
                         ขึ้นก็ต่อเมี่อมอเตอร์ซิงโคนัสทำงานเท่านั้น

                      โดยในที่นี้จะกล่าวถึงการใช้คาปาซิเตอร์ต่อเข้าไปในระบบไฟฟ้าเท่านั้น




รูปที่ 2 ความสัมพันธ์ของกำลังงานต่างๆ ก่อนและหลังปรับค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์

                        ซึ่งค่าในวงเล็บใหญ่ สามารถดูได้จากตารางที่ 2 แต่การเลือกขนาดคาปาซิเตอร์ดังกล่าวต้องคำนึงถึงผลกระทบ
                      อันได้แก่

                     1. ค่าฮาร์มอนิกส์ ที่อาจจะเกิดขึ้นหรือเกิดแรงดันเกินพิกัด ( over voltage)
                     2. ราคาของคาปาซิเตอร์ ทั้งนี้จึงต้องมีการคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นด้วย
                   
                  ตัวอย่าง
                   การวิเคราะห์ผลการประหยัดที่เกิดขึ้น เมี่อติดตั้งคาปาซิเตอร์ในระบบไฟฟ้าโรงงานอุตสาหกรรม แห่งหนึ่งใช้ไฟฟ้า
                ระบบ 3 เฟส แบบ Y มีภาระไฟฟ้าทั้งสิ้นเท่ากับ 2,000 กิโลวัตต    ์มีค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์เท่ากับ 0.7 ถ้าต้องการแก้ไข
                ปรับปรุงค่าเพาเวอร์แฟกเตอร์เป็น   0.9 จะต้องลงทุนประมาณเท่าไหร่ และประหยัดเงินเท่าไหร่บ้าง         โดยถ้าราคา
                คาปาซิเตอร์รวมค่าติดตั้งเฉลี่ยประมาณ 400 บาท /kVAR, อายุเฉลี่ยของคาปาซิเตอร์ประมาณ 20 ปี, อัตราดอกเบี้ย15,
                ค่า rated transformer เท่ากับ 3,500 kVA, เวลาทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวันวันทำงาน 26 วันต่อเดือน, อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ย
                 ประมาณ 1.7 บาทต่อหน่วย (kW-hr), ประสิทธิภาพของหม้อแปลง ประมาณ 98%