โดย
นายไฟฟ้า
เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลา ทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ามีจำนวนจำกัด
และต้นทุนการผลิตในช่วงความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุด มีราคาแพงกว่าช่วงอื่น
ดังนั้น เพื่อให้ค่าไฟฟ้าสอดคล้องกับต้นทุน
การผลิตที่ผันแปรไป
อัตราค่าไฟฟ้าที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลาจึงถูกกำหนดขึ้นตั้งแต่ปี
2533 เป็นต้นมา ได้มีการนำอัตราค่า
ไฟฟ้าที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาของวัน (Time of Day :TOD) มาใช้ ทำให้ความต้องการพลังไฟฟ้าในช่วงความต้องการสูงช่วงหัวค่ำ
ลดลง และเปลี่ยนไปเกิดขึ้นช่วงบ่ายแทน แต่เนื่องจากต้นทุนในการจัดหาไฟฟ้าแต่ละช่วงเวลาไม่เท่ากัน เช่นในช่วงบ่ายที่มีความ
ต้องการใช้ไฟฟ้ามาก
โรงไฟฟ้าจะทำงานอย่างเต็มที่ โรงไฟฟ้าที่มีเชื้อเพลิงราคาสูงก็ต้องทำงานด้วย แต่ในช่วงกลางคืนที่มีการใช้
ไฟฟ้าค่อนข้างต่ำ
โรงไฟฟ้าบางโรงอาจหยุดเดินเครื่องโดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงราคาแพงฉะนั้นต้นทุนในการจัดหาไฟฟ้า
จะมีค่าที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาของวัน
ดังนั้น เพื่อให้ค่าไฟฟ้าสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากที่สุด
จึงมีการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้า
ในลักษณะที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาของการใช้หรือเรียกว่า อัตราทีโอยู
(Time of Use Rate : TOU)
อัตราทีโอยู
กำหนดขึ้นมาในปี 2540 สำหรับกิจการที่มีการใช้กระแสไฟฟ้ามาก
เพื่อให้สอดคล้อง กับช่วงเวลาของความต้องการ
พลังไฟฟ้าสูงสุดที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งก็คือ เป็นอัตราที่สะท้อนต้นทุนและลักษณะการใช้กระแสไฟฟ้าที่แท้จริงของผู้ใช้ไฟฟ้า
เพื่อให้
มีการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด กล่าวคือ ในช่วงที่มีความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าสูง
(Peak) ราคาค่าไฟฟ้าจะแพง และ
ในช่วงที่ความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าต่ำ ( Off Peak )
ราคาค่าไฟฟ้าจะถูก ดังเช่น
ผู้ใช้ไฟประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลางที่ระดับ
แรงดัน
22 -33 kV ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ 30 kW
แต่ไม่ถึง 1,000 kW การไฟฟ้ากำหนดค่าพลังงานไฟ้ฟ้าที่ช่วงPeak
เท่ากับ
2.6950
บาท/ และช่วง Off Peak เท่ากับ 1.1914 บาท/หน่วย (อ้างจากโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่
ปี 2543)
-
ช่วง Peak หมายถึง วันจันทร์ - เสาร์ ระหว่างเวลา 09.00 -
22.00 น.
-
ช่วง Off Peak หมายถึง วันจันทร์ - เสาร์ ระหว่างเวลา 22.00
- 09.00 น. และวันอาทิตย์ทั้งวัน
(อัตราค่าไฟฟ้าปี 2540)
และกำหนดให้
อัตราทีโอยู เป็นอัตราเลือก สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายเดิม แต่เป็นอัตราบังคับสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหม่ที่ใช้พลังงาน
ไฟฟ้าตั้งแต่
355,000 หน่วยต่อเดือนขึ้นไป หรือใช้พลังไฟฟ้า เกินกว่า 2,000
กิโลวัตต์ขึ้นไปต่อมาได้มีประกาศใช้ โครงสร้างอัตรา
ค่าไฟฟ้าใหม่
โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543 และได้กำหนดอัตราทีโอยู
ให้มีช่วง Off Peak มากขึ้น คือ เพิ่มวันเสาร์ และวัน
หยุดราชการ(ยกเว้นวันหยุดชดเชย)
ทั้งวันด้วย ปัจจุบัน อัตราทีโอยู เป็นอัตราบังคับสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้ากิจการเฉพาะอย่าง
(กิจการโรงแรม)
และผู้ใช้ไฟฟ้าเฉพาะรายใหม่ที่ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 1,000 กิโลวัตต์
หรือมีปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้ามากกว่า
250,000
หน่วยต่อเดือน แต่เป็นอัตราทางเลือกสำหรับผู้ใช้อัตราไฟฟ้ารายเดิมที่ใช้อัตราค่าไฟแบบ
TWO - Part Tariff (จ่ายค่าพลัง
งาน
(kWHr) และค่าความต้องการสูงสุด (Peak Demand) ) และอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาของวัน
หรือ TOD เอง
สำหรับในปี พ.ศ.2545 นี้ ได้มีการนำอัตราทีโอยูมาใช้ สำหรับ
ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ( ประเภท 1.2 ) ที่มีการใช้ไฟฟ้า
เกิน 150 หน่วยต่อเดือนและมีขนาดเครื่องวัดฯเกิน 15
แอมแปร์ขึ้นไป และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก (ประเภท
2) ที่มี
ความต้องการพลังไฟฟ้าต่ำกว่า
30 กิโลวัตต์ ใช้ไฟฟ้าแรงดันต่ำกว่า 12,000 โวลต์ สามารถเลือกใช้ได้
ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางใหม่ใน
การเลือกใช้อัตราค่าไฟฟ้า
ซึ่งจะเหมาะสำหรับผู้ใช้ไฟที่ออกทำงานนอกบ้านในช่วงเวลากลางวัน
ช่วงเย็น หรือค่ำจะกลับเข้ามาบ้าน
และจะอยู่บ้านพักผ่อนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ
ซึ่งค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมิเตอร์ใหม่ทั้ง 1 เฟส หรือ 3 เฟส
ทุกขนาด
แอมป์ราคาเดียวกันคือ
17,000 บาท
ด้วยผลของค่าพลังงานไฟฟ้า
ในช่วง Off Peak ถูกกว่าช่วง On Peak และได้มีการขยายช่วงเวลา
Off Peak จากเดิมเฉพาะวัน
อาทิตย์ เพิ่มเป็นวันเสาร์อีก 1 วัน และเพิ่มวันหยุดราชการตามปกติทั้งวัน
ทำให้ผู้ใช้ไฟที่มีการใช้ไฟในช่วง Off Peak มาก นิยม
มาใช้อัตราทีโอยูมากขึ้น
ส่วนสำหรับผู้ใช้ไฟซึ่งเดิมมีพฤติกรรมการใช้ไฟในช่วง On Peak
ก็พยายามที่จะปรับหันมาใช้ไฟในช่วง
Off
Peak มากขึ้น เพื่อที่จะเปลี่ยนมาใช้อัตราไฟฟ้าแบบทีโอยู
แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนใช้อัตราทีโอยู จะต้องทำการศึกษา
พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าและผลของภาระค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายแต่ละเดือนให้รอบคอบก่อน
เพราะถ้าเปลี่ยนไปใช้อัตราค่าไฟฟ้าทีโอยู
แล้ว
(ค่าไฟไม่ถูกลง) จะไม่สามารถกลับไปใช้ค่าไฟแบบเดิมได้อีก
กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าที่ได้ประโยชน์จากอัตราทีโอยูได้แก่
-
อุตสาหกรรมที่มีการผลิตอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
และมีการใช้พลังงานอย่างสม่ำเสมอ (Load Factor สูง)
สัดส่วน Off Peakต่อ On Peak เป็น
63:37
-
โรงแรมและกิจการให้เช่าพักอาศัย ซึ่งเสียค่าไฟฟ้าในอัตราปกติ
ที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้า ในช่วงกลางคืนสูง
กว่ากลางวัน
สัดส่วน Off Peak ต่อ On Peak เป็น
63:35
-
ผู้ใช้ไฟฟ้า ที่สามารถปรับเปลี่ยนเวลาทำงาน ให้มาอยู่ในช่วง
Off Peak ได้ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิต
(ตัวเลขสัดส่วนอ้างจาก
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ)
สำหรับวิธีการที่เป็นแนวทางในการลดหรือหลีกเลี่ยงการใช้ไฟฟ้าในช่วง
Peak มีดังนี้คือ
-
พิจารณาเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองผลิตกระแสไฟฟ้าใช้เองในช่วง
Peak
- ทำการย้ายเวลาเดินเครื่องจักรบางชนิดหรือทำการย้ายหรือเปลี่ยนแปลงเวลาการทำงานพิเศษให้เร็วขึ้นหรือช้าลง
เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้งานในช่วง Peak หรือย้ายจากในช่วง Peak
ไปทำงานในช่วง Off Peak แทน
-
จัดเวลาการเดินเครื่องเครื่องจักรให้ความต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงสุดของแต่ละชุดเหลื่อมล้ำกัน
-
ทำการตัดหรือปลดเครื่องจักรบางตัวออกจากระบบสำหรับเครื่องจักรที่เดินตัวเปล่าหรือไม่มีความจำเป็น หรือลดภาระ
ของเครื่องจักรลง
จากที่กล่าวมาอัตราทีโอยูที่กำหนดใช้ในปัจจุบัน
สะท้อนถึงต้นทุนไฟฟ้าอย่างแท้จริง กล่าวคือ ในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าสูง
(On
Peak) ค่าไฟฟ้าจะสูง เนื่องจากการไฟฟ้า ต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า
ระบบสายส่ง / สายจำหน่าย ให้เพียงพอต่อความต้องการ
ไฟฟ้าในช่วงนี้
และต้องใช้เชื้อเพลิงทุกชนิด (ทั้งถูกและแพง) ในการผลิตไฟฟ้า
แต่ในช่วงที่มีความต้องการไฟฟ้าต่ำ (Off Peak)
ค่าไฟฟ้าจะต่ำ
เนื่องจาก การไฟฟ้าไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้า และระบบสายส่ง / สายจำหน่าย
(สร้างไว้แล้วในช่วง On Peak) จึงไม่มี
ต้นทุนค่าไฟฟ้าในส่วนนี้
มีเพียงต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้าสามารถเลือกใช้เชื้อเพลิง
ที่ถูกมาผลิตไฟฟ้า
จึงทำให้ต้นทุนพลังงานไฟฟ้า
ในช่วง Off Peak ต่ำกว่าช่วง On Peak มากกว่าครึ่งหนึ่ง เพื่อลดความต้องการพลังงานไฟฟ้าในช่วง
ที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงสุด
(On Peak) ผลที่ได้จากการไฟฟ้า คือ เป็นการช่วยลดต้นทุนที่มีมูลค่าสูงมากสำหรับการจัดหา
และผลิต
พลังงานไฟฟ้าของประเทศ
และผลที่ได้จากผู้ใช้ไฟคือได้ใช้ไฟถูกลง แต่นั่นไม่ได้หมายถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าในประเทศจะน้อย
ลง
ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เป็นการใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วง
Off Peak ค่าไฟฟ้ามีค่าถูกลง ทำให้ผู้ใช้ไฟใช้พลังงาน
ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
ซึ่งอัตราทีโอยูจะเป็นเพียงอัตราค่าไฟฟ้าที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้าเท่านั้น
และหนทางหนึ่งสำคัญนอกเหนือจากการใช้อัตราทียูที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถลดค่าไฟฟ้าได้คือ
การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดและรู้คุณค่า
จึงถือว่าได้ใช้ไฟฟ้าอย่างชาญฉลาด
|