อนาคตโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในไทย
โดย : Admin

ที่มา: 

 

 

เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่แก้กันไม่ตกสักที  ไม่ว่าจะหยิบยกมาคุยเมื่อใดก็ต้องเป็น  "เรื่อง"  แทบทุกครั้งไป  โดยเฉพาะกับ  "โรงไฟฟ้านิวเคลียร์"  ที่ประเทศไทยยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน  แต่ทางกระทรวงพลังงานได้ออกมาบอกว่า  โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้  เพราะหากวันนี้ยังไม่ทำก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เริ่ม  และยังเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศที่เพิ่มขึ้นทุกวันด้วย
 



 

     ทั้งนี้  เดิมปี  19  รัฐบาลได้อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  (กฟผ.)  ก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาด  600  เมกะวัตต์  ที่อ่าวไผ่  อำเภอศรีราชา  จังหวัดชลบุรี  แต่ได้มีการคัดค้านจากประชาชน  ทำให้รัฐบาลตัดสินใจล้มเลิกโครงการไปในที่สุด  จนเมื่อช่วง  2-3  ปีที่ผ่านมา  ที่ราคาน้ำมันทุบสถิติทำราคาน้ำมันพุ่งไปอยู่ที่ระดับ  147  เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล  เกินความคาดหมายทั้งหลายทั้งปวงไปอย่างแทบไม่น่าเชื่อ  เรียกว่างานนี้เป็นการตบหน้าบรรดากูรูด้านพลังงานจนหน้าแตกเย็บไม่ติดทีเดียว           


 

     งานนี้ก็เลยกลายเป็นบทเรียนสอนใจไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท  ซึ่งทำให้รัฐบาลหันมาเห็นความสำคัญของการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขึ้นมาอีกรอบ  เพื่อใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายในยามราคาน้ำมันกลับมาทะยานอีกครั้ง  เพราะไม่มีการเตรียมพร้อมรับมือไว้แต่เนิ่นๆ  หากราคาน้ำมันกลับมาสูงอีกครั้งจะทำกันอย่างไรต่อไป  หรือว่าถึงเวลานั้นคนไทยที่เคยชินกับการช่วยอุดหนุนราคาน้ำมันให้ได้ใช้กันในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง  จะยอมก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมกันตาปริบๆ

 

     โดยกระทรวงพลังงานได้มีการบรรจุแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไว้ในปี  63  ซึ่งเป็นช่วงท้ายของแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า  (พีดีพี)  ที่ไทยมีแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจำนวน  2  พันเมกะวัตต์  เพื่อใช้เป็นแหล่งไฟฟ้าประมาณ  5%  ของความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด  ซึ่งหากรวมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เข้าเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานแล้ว  ก็จะทำให้ได้ต้นทุนไฟฟ้าต่อหน่วยต่ำที่สุด  คือ  2.08  บาทต่อหน่วย  เมื่อเทียบกับต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน  2.11  บาทต่อหน่วย  และจากพลังงานแสงอาทิตย์  20.20  บาทต่อหน่วย
 

     แต่ล่าสุด  สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน  (สนพ.)  ได้ทำตัวเลขพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะนำไปใช้เป็นข้อมูลในการทำแผนพีดีพีใหม่ให้สอดคล้องกัน  ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่แผนพีดีพีของประเทศรอบใหม่อาจมีการปรับลดกำลังการผลิตไฟฟ้า  โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์  เพราะต้องยอมรับว่าแผนการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินและนิวเคลียร์มีข้อจำกัดค่อนข้างมาก  ทั้งการหาพื้นที่ก่อสร้างที่ไม่เป็นที่ยอมรับของชุมชน  ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว  จึงทำให้ความจำเป็นในการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าลดลงตามไปด้วย
 

     ทั้งนี้  ในการทบทวนแผนพีดีพีใหม่นี้  จำเป็นต้องมีการปรับรูปแบบการเปิดรับฟังความคิดเห็นให้เปิดกว้างมากขึ้น  โดยจะเริ่มจากการจัดสัมมนากลุ่มย่อย  เพื่อให้มีการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน  เช่น  ตัวแทนนักวิชาการ  ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย  กลุ่มองค์กรเอกชน  (เอ็นจีโอ)  และประชาชนทั่วไป  หลังจากนั้นก็จะรวบรวมความคิดเห็นที่ได้มาทำประชาพิจารณ์รอบใหม่  เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนพีดีพี  2009  ที่จะสรุปภายในปี  52  นี้
 

     อย่างไรก็ตาม  แผนพีดีพีฉบับปรับปรุงครั้งที่  2  เมื่อเดือน  มี.ค.ที่ผ่านมา  กำหนดให้ปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจชะลอตัว  และลดภาระการลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าและระบบสายส่ง  โดยในปี  52-58  จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้น  12,605  เมกะวัตต์  และปี  53-64  มีกำลังไฟฟ้าผลิตเพิ่มขึ้น  17,550  เมกะวัตต์
 

     อนาคตอีก  10  ปีข้างหน้า  คนไทยจะมีโอกาสได้เห็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งแรกเกิดขึ้นในไทย  หรือไม่นั้นก็คงต้องรอลุ้นกันล่ะว่า  สุดท้ายแล้วเราจะมีทางออกที่ดีไปกว่าการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ยังมีปัญหาการไม่ยอมรับของคนในชุมชนอยู่หรือไม่.


 

 

ขอขอบคุณที่มาของแหล่งข่าว


 

เนื้อหาโดย: 9engineer.com (http://www.9engineer.com/)