ขั้นตอนการติดตั้ง การใช้งานและการซ่อมบำรุงรักษาคาปาซิเตอร์
โดย : Admin

  ขั้นตอนการติดตั้ง การใช้งานและการซ่อมบำรุงรักษาคาปาซิเตอร์


               ความปลอดภัย

                     เริ่มต้นด้วยความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เนื่องจากคาปาซิเตอร์อุปกรณ์ที่ทำงาน Full Load ตลอดเวลา ก่อนการ
               ซ่อมบำรุงทุกครั้งควรปฏิบัติดังนี้

                     1. การติดตั้งและการซ่อมบำรุงต้องกระทำโดยผู้มีหน้าที่รู้และเข้าใจคาปาซิเตอร์ โดยอ้างถึงมาตรฐาน IEC 831

                     2. ปลดวงจรที่จ่ายไฟให้กับคาปาซิเตอร์ก่อนการซ่อมบำรุง ควรมีการปลดวงจรอื่นที่อาจทำให้มีกระแสไฟย้อนกลับ
                         มาสู่คาปาซิเตอร์ได้ด้วย

                     3. เมื่อปลดคาปาซิเตอร์แล้วจะต้องรออย่างน้อย 5 นาที   เพื่อให้คาปาซิเตอร์คายประจุไฟฟ้าผ่านดิสชาสรีซีสเตอร์            
                         จนแรงดันลดลงมาต่ำกว่า 50 V ซึ่งอาจวัดด้วยมิเตอร์แรงดันทำการลัดวงจรที่ขั้วทุกขั้วของคาปาซิเตอร์ด้วยสาย
                         ไฟที่มีฉนวน เพื่อให้แน่ใจว่าคาปาซิเตอร์คายประจุหมดแล้วจริงๆ ไม่ควรทำการลัดวงจรในขณะที่มีแรงดันค้าง
                         ในตัวคาปาซิเตอร์ หรือภายหลังการปลดคาปาซิเตอร์จากวงจรในทันทีเพราะอาจทำให้คาปาซิเตอร์เสียหาย และ
                         เกิดอันตรายได้

                      4. เริ่มทำทำการซ่อมบำรุงคาปาซิเตอร์

                  การติดตั้งคาปาซิเตอร์
                   
                           ตำแหน่งที่ติดตั้ง คาปาซิเตอร์ควรมีอากาศถ่ายเทได้ดี เนื่องจากคาปาวิเตอร์ถูกสร้างมาให้ทำงานในอุณหภูมิ
                        แวดล้อมจำกัด (ซึ่งอาจศึกษาได้จากคู่มือของผู้ผลิต) จึงจำเป็นต้องเลือกประเภทอุณหภูมิใช้งานของคาปาซิเตอร์
                        ให้เหมาะสม ดังเช่นมีประเภทอุณหภูมิใช้งาน -25/D (Temperature category -25/D) หมายความว่าสามารถใช้
                        งานได้อุณหภูมิต่ำสุด -25 องศาเซียลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 55 องศาเซียลเซียส ค่าอุณหภูมิเฉลี่ย 24 ชั่วโมงไม่เกิน
                        45 องศาเซียลเซียส ค่าอุณหภูมิเฉลี่ยตลอด 1 ปีไม่เกิน 35 องศาเซียลเซียส ส่วนแรงดันในบริเวณที่ติดตั้งคาปา
                        ซิเตอร์ต้องเป็นไปตามพิกัดของคาปาซิเตอร์ โดยมาตรฐาน IEC 831 ระบุว่าค่าคาปาซิเตอร์จะทนแรงดันเกินได้
                        ถึง 110 % ของแรงดันพิกัดแบบเป็นช่วงเวลา (8 ชม. ใน 1 วัน) การใช้งานคาปาซิเตอร์ที่ระดับเกินและอุณหภูมิ
                        ใช้งานสูงๆ ตลอดเวลา จะทำให้อายุการใช้งานของคาปาซิเตอร์สั้นลงอย่างมาก

                     การเข้าสายและการเลือกขนาดสายไฟ

                          สายไฟจะต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า 1.43 เท่าของกระแสพิกัดของคาปาซิเตอร์ ในกรณีที่มีการเดินสายแบบพิเศษ
                       เช่น มัดรวมสายไฟกันหลายเส้น ควรมีการปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตสายไฟในการเลือกสาย การเข้าสาย
                       ต้องทำให้แน่นโดยใช้แรงบิด (Torque) ตามที่ผู้ผลิตกำหนดควรมีการจัดตำแหน่งของสายและตัวประจุให้เหมาะ
                       สม เพื่อความปลอดภัย
                           ภายหลังการติดตั้งก่อนการเริ่มจ่ายไฟครั้งแรกควรตรวจสอบ
                           1. ความสะอาดอุปกรณ์
                           2.การเข้าสายต้องแน่น โดยใช้สายที่เหมาะสม
                           3.ระบบการต่อลงดิน

                            ภายหลังการจ่ายไฟคาปาซิเตอร์แล้วควรบันทึกค่ากระแสและแรงดันคาปาซิเตอร์ควรบันทึกค่ากระแสและ
                        แรงดันของคาปาซิเตอร์ กระแสควรไม่เกิน 130 % ของกระแสของพิกัด   และค่าPower ไม่ควรเกิน 130 % ของ
                        กำลังพิกัด และแรงดันไม่ควรเกินแรงดันพิกัดของคาปาซิเตอร์

                      การซ่อมบำรุงคาปาซิเตอร์

                          1. ปฏิบัติตามกฏความปลอดภัยก่อนการซ่อมบำรุงคาปาซิเตอร์

                          2.การบำรุงรักษาประจำปีจะต้องตรวจสอบดังนี้
                             2.1 ทำความสะอาดฝุ่นและคราบสกปรกทุกๆชิ้นส่วนของอุปกรณ์
                             2.2 ตรวจสอบความแน่นของจุดต่อสายไฟทุกจุด
                             2.3 ตรวจสอบสภาพของตัวคายประจุ
                             2.4 ตวรจอุณหภูมิโดยรอบ

                          3. นำคาปาซิเตอร์เข้าสู่ระบบและวัดกระแสของคาปาซิเตอร์ด้วย คลิป-ออน มิเตอร์ (Clip-on Meter) และวัด
                              ค่า kVAR เอาท์พุทของคาปาซิเตอร์ ถ้าค่าเอาท์พุทลดลงจาก Nameplate มากกว่า 10 %  แสดงว่าคาปาซิ
                              เตอร์เริ่มเสื่อมสภาพการใช้งานแล้ว ซึ่งอาจมีหลายสาเหตุ เช่น เป็นการเสื่อมสภาพการใช้งานตามปกติ
                              หรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ เนื่องจากอุณหภูมิใช้งานสูงเกินไป แรงดันระบบสูงเกินไปหรือมีฮาร์มอนิก
                              ในระบบไฟฟ้า หากพบว่าคาปาซิเตอร์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ควรหาสาเหตุให้พบแล้วทำการแก้ไขตาม
                              สาเหตุต่อไป

               เอกสารอ้างอิง
               วารสาร คุณภาพไฟฟ้า Vol7 / July - September 2001 ; ABB LIMITED


             (ขอขอบคุณ ชาวสมาชิก 9engineer  คุณมาโนชน์ ที่กรุณาส่งข้อมูลมาเพื่อเป็นความรู้เผยแพร่)


 

เนื้อหาโดย: 9engineer.com (http://www.9engineer.com/)