เพ็ญศรี ลี้วารินทร์พาณิช
ในยุคที่เศรษฐกิจฝึดเคืองเช่นนี้
การบริหารโรงงานอุตสาหกรรมจำเป็นต้องคำนึงถึงการผลิตที่มีค่าใช้จ่าย
เป็นต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง หนทางหนึ่งที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิต
คือการใช้พลังงานทุกประเภทอย่างประหยัดและ
มีประสิทธิภาพ
การประหยัดพลังงานของโรงงาน
หมายถึงการลดใช้พลังงานลงโดยการจัดการใช้พลังงานให้เหมาะสมเพื่อ
ให้ได้ประโยชน์สูงสุด
โดยไม่ทำให้กระบวนการผลิตลดลงและไม่ทำให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลง
จำเป็นแค่ไหน
พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานที่มีความจำเป็นและการใช้ในการผลิตของทุกโรงงาน
ความจำเป็น และความ
สำคัญของการประหยัดพลังงานไฟฟ้า จึงไม่ใช่เพียงแต่เอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเพียงเท่านั้น
แต่ยังเป็นความจำเป็นและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย
เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าของ
ประเทศไทยในปัจจุบัน ยังต้องพึ่งเชื้อเพลิงนำเข้าจากต่างประเทศ
และมีแนวโน้มว่าจะต้องมีการนำเข้าเชื้อเพลิง
เพิ่มมากขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ซึ่งเป็น
สาขาที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงสุด ดังจะเห็นได้จากรายงานสถานการณ์พลังงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี
พศ. 2543
ระบุว่าภาคธุรกิจอุตสาหกรรมยังต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ
10.3
มีขั้นตอนดำเนินการอย่างไร
กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานได้เสนอแนะว่าการประหยัดพลังงานในโรงงาน
ควรมีการดำเนินเป็นขั้นตอน
โดยเริ่มจากเทคโนโลยีที่ง่ายที่สุด
และใช้เงินลงทุนน้อยที่สุดไปจนถึงงานที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูง และเงินลงทุน
มากได้แก่
1. การบำรุงรักษาและการดูแลเบื้องต้น
(House Keeping) การประหยัดพลังงานโดยวิธีนี้ เป็นการปรับแต่ง
เครื่อง และการทำงานต่างๆ เช่น การกำหนดให้มีกรรมวิธีดูแลรักษาที่ถูกต้อง
วิธีเหล่านี้โดยมากแล้วจะไม่ทำให้
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
หรือเป้นมาตรการที่เสียค่าใช้จ่ายน้อย แต่มีระยะคืนทุนสั้นๆ
คือน้อยกว่า 4 เดือน
2. การปรับปรุงขบวนการเดิมเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น
หรือทำให้การสูญเสียต่างๆ ลดน้อยลง ซึ่งจะต้อง
อาศัยการตรวจวิเคราะห์อย่างละเอียด
โดยทั่วไปมาตรการนี้จะต้องการเงินลงทุนปานกลาง โดยมีระยะเวลาคืนทุน
1
- 2 ปี
3.
การเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์หรือระบบ (Major Change Equipment) เมื่อการตรวจวิเคราะห์ขั้นต้นชี้ให้เห็นว่า
สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้มาก
โดยการเปลี่ยนหรือเพิ่มอุปกรณ์ ทั้งนี้จะต้องมีการประเมินผลตอบแทน
ทางการเงินที่ได้จากการดำเนินการมาตรการดังกล่าว
ถ้าพบว่ามีความสอดคล้องเข้ากับเกณฑ์การลงทุนของฝ่าย
บริหาร ก็จะเสนอขอความเห็นชอบ มาตรการนี้จะต้องมีการลงทุนสูงโดยมีระยะเวลาคืนทุน
2-5 ปี
ทำอย่างไรได้บ้าง
การประยัดพลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม
สามารถทำได้หลายวิธี เช่น
- การปรับปรุงต้นพลังงานไฟฟ้าต่อหน่วยการผลิต
-
การปรับปรุง Load Factor ให้สูงขึ้น
-
การปรับปรุงค่า Power factor
-
การควบคุมค่ากำลังไฟฟ้าสูงสุดของโรงงาน
ซึ่งแต่ละวิธีสามารถทำได้โดยการบริหารจัดการ การปรับปรุงการทำงาน
การใช้เครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพ
การลดการสูญเสีย การบำรุงรักษา ตลอดจนการใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานไฟฟ้า
จะเริ่มต้นย่างไร
ในการวางแผนจัดการด้านพลังงานให้มีการใช้พลังงานอย่างประหยัด
และมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องมีการ
ดำเนินการตรวจสอบ และวิเคราะห์หาสภาพการใช้พลังงานที่เป็นอยู่ในปัจจุบันของโรงงานที่เรียกว่า
Energy
Audit เสียก่อน การตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานดังกล่าวจะให้ทราบถึงสภาพการใช้พลังงาน
และการสูญเสีย
พลังงานที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปมีการปฏิบัติอยู่ 3 ขั้นตอนคือ
1.
การตรวจสอบวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น (Preliminarly
Audit) เป็นการตรวจสอบรวบรวมข้อมูลด้านการ
ผลิตระบบการใช้พลังงานในปีก่อนๆ
ที่ทางโรงงานจดบันทึกไว้เพื่อทราบปริมาณการใช้พลังทุกรูปแบบ
ค่าใช้จ่าย
ด้านพลังงาน
ผลผลิตที่ได้ต่อพลัลงานที่ใช้ ตัวแปรของการใช้พลังงานในแต่ละช่วงตลอดจนรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง
2. การตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยการสำรวจแผนผังโรงงานเพื่อทราบลักษณะทั่วไปของโรงงาน
กระบวน
การผลิตและเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ
พิจารณาบริเวณที่มีการใช้พลังงานสูง ระบบการใช้พลังงานในรูปแบบต่างๆ
และบริเวณที่เกี่ยวข้อง
และในขั้นตอนต่อมาคือ การเข้าสำรวจในโรงงานเพื่อหาสาเหตุการสูญเสียพลังงาน
โดยการ
สำรวจใช้พลังงานทุกระบบทั้งในช่วงทำการผลิต และช่วงหยุดการผลิต
รวมทั้งทำการตรวจวัดโดยใช้เครื่องมือต่างๆ
ทำให้ได้ข้อมูลสภาพการใช้พลังงานของโรงงานนั้น
3. การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานอย่างละเอียด
(Detailed Audit) ผลการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้
พลังงานเบื้องต้น นำข้อมูลมาสร้างรูปแบบการใช้พลังงานว่าจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขส่วนใดบ้าง
ซึ่งจะต้องทำการ
ตรวจสอบและวิเคราะห์อย่างละเอียด โดยการตรวจวัดและบันทึกข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
หรือเป็นช่วงเวลาอย่างน้อย 1
สัปดาห์
เพื่อให้ทราบสภาพการทำงานและวิเคราะห์การสูญเสียพลังงานโดยจัดทำสมดุลพลังงาน
เพื่อหาประสิทธิภาพ
ของระบบ
และของอุปกรณ์ที่สำคัญ และหาแนวทางการปรับปรุงแก้ไข ซึ่งจะต้องมีการวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์
ในแต่ละมาตรการลงทุนเพื่อหามาตรการที่เหมาะสมและเป็นไปได้
แล้วจะได้ผลแค่ไหน
ตัวอย่างการศึกษาวิจัยเพื่อทำการปรับปรุงการใช้พลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ
และเกิดการประหยัดพลังงาน
โดยใช้วิธีการของ
Energy Audit ที่จะนำเสนอในบทความนี้ คือการศึกษาศักยภาพการประหยัดพลังงานไฟฟ้า
ใน
โรงงานอุตสาหกรรมผลิตมิเตอร์
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทราบการใช้พลังงานของโรงงาน
ประเมินหาศักยภาพใน
การประหยัดพลังงาน
และเสนอแนวทางการปรับปรุงการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ
โดยโรงงานที่เข้าทำการ
ศึกษาคือ บริษัทมหาจักรไฟฟ้าสากล จำกัด ตั่งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมนวนคร
อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่ง
เป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่จัดอยู่ในประเภทขนาดกลาง
ตามการจัดแบ่งประเภทกิจการไฟฟ้าในการคิดอัตราค่าไฟฟ้า
ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
โดยเข้าทำการสำรวจ ตรวจวัดและวิเคราะห์หาสถาพการใช้พลังงาน
และการสูญเสียพลัง
งานที่เกิดขึ้นในเครื่องจักรอุปกรณ์ไฟฟ้าของโรงงานได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้า
มอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศซึ่ง
มีสัดส่วนการใช้พลังงานมากกว่า
90 เปอร์เซนต์ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดของโรงงาน
ผลการศึกษาพบว่า
ปัจจุบันโรงงานมีการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยปีละ 1,376,160 kWh
โดยมีค่าความต้องการไฟฟ้า
สูงสุด
426 kW ค่าตัวประกอบภาระ 0.47 และค่าตัวประกอบกำลัง 0.09 มีสัดส่วนการใช้พลังงานสูงสุดในระบบมอเตอร์
ของเครื่องจักรอุปกรณ์ร้อยละ
56..70 รองลงมาคือระบบปรับอากาศร้อยละ 34.71 และระบบแสงสว่างร้อยละ
8.59 อัตรา
การใช้พลังงานไฟฟ้าต่อผลผลิตเท่ากับ
3.46 kWh/เครื่อง มีศักยภาพในการประหยัดพลังงานได้ทั้งโดยวิธีที่ไม่มีการ
ลงทุน และวิธีการที่ลงทุนรวม 5 แนวทางคือ
1.
การยุบภาระหม้อแปลงรวมกันในช่วงที่ไม่ทำการผลิต
2.
การสับเปลี่ยนมอเตอร์ให้พิกัดเหมาะสมกับภาระของเคื่องจักร
3.
การลดระยะเวลาการใช้งานของเครื่องปรับอากาศลง
4.
การเปลี่ยนอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิเป็นแบบอิเลคทรอนิคส์เทอร์โมสตัท
จากการวิเคราะห์ความเหมาะสมในการดำเนินการ
และความคุ้มทุนโดยหาระยะเวลาคืนทุน (Playback Period)
และวิธีมูลค่าปัจจุบันสนธิ
(Net Present Value) แล้วพบว่า มีแนวทางการประหยัดพลังงานที่สมควรเสนอแนะให้แก่โรง
งานในการปรับปรุงการใช้พลังงานของโรงงานเหลือเพียง
3 แนวทางได้แก่
1.
การลดระยะเวลาการใช้เครื่องปรับอากาศลง
2.การปรับตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสมให้แก่เครื่องปรับอากาศ
3. การเปลี่ยนอุปกรณ์ควบคุมของเครื่องปรับอากาศ
จึงได้เสนอแนะให้โรงงานใช้แนวประหยัดพลังงานดังกล่าวร่วมกัน
เพื่อให้ศักยภาพในการประหยัดพลังงาน
ไฟฟ้าของโรงงานสูงสุด
โดยสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ปีละ 14,0001.63 kWh ( หรือลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้
ปีละ10.68 เปร์เซนต์) หรือคิดเป็นค่าพลังงานไฟฟ้าที่สามารถประหยัดได้ปีละ
452,765 บาท
จะเห็นได้ว่าแนวทางการประหยัดพลังงานที่เสนอแนะไว้ในตัวอย่างการศึกษาข้างต้น
เป็นแนวทางที่สามารถ
ดำเนินการได้โดยใช้เทคโนโลยีง่ายๆ
ลงทุนน้อย และไม่ต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานมาดำเนินการอย่างใด
จึงมี
ความเหมาะสมอย่างยิ่งต่อขโรงงานขนาดกลางลงไป
เนื่องจากโรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ดำเนินการประหยัด
พลังงานอย่างจริงจัง
อันเนื่องมาจากไม่ได่อยู่ในขอบข่ายที่ต้องปฏิบัติตามกฏหมาย
พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์
พลังงาน
พศ. 2535 และการที่ไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการปฏิบัติตามกฏหมายดังกล่าว
ทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนทางด้าน
การเงินในการดำเนินการประหยัดพลังงานรวมถึงการขาดผู้รับผิดชอบโดยตรงด้านพลังงานประจำโรงงานด้วย
ดังนั้น
บทความนี้จึงประสงค์จะกระตุ้นและชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของการประหยัดพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม
และธุรกิจขนาดกลางลงไป
ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 25,000 แห่งในเขตของภูมิภาค ให้เห็นถึงความจำเป็นและประโยชน์ที่ได้
รับจากการประหยัดพลังงาน
ซึ่งถ้าหากทุกโรงงานได้ดำเนินการประหยัดพลังงาน และได้ผลลัพธ์อย่างน้อยที่สุด
เช่นเดียว
กับกรณีตัวอย่างที่ได้ทำการศึกษาแล้วนี้
ย่อมจะสามารถช่วยให้ประเทศชาติประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้มากถึงปีละ
235
เมกกะวัตต์
หรือถ้าคิดเทียบสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของโรงงานแม่เมาะ ซึ่งมีกำลังผลิตปีละประมาณ
2,625 เมกกะวัตต์
โดย
มีความต้องการถ่านหินปีละประมาณ
16 ล้านตัน แล้วเท่ากับสามารถลดค่าใช้ถ่านหินลงไปได้ถึงปีละมากกว่า
1.4 ล้านตัน
ดังนั้น
การประหยัดพลังงานไฟฟ้าในกลุ่มเป้าหมายดังกล่าว นอกจากจะช่วยลดต้นทุนการผลิตให้แก่โรงงาน
และยังช่วย
ลดการใช้เชื้อเพลิงของประเทศแล้ว
ยังสามารถช่วยลดมลพิษ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ไม่น้อยทีเดียว
กล่าวโดยสรุป
การประหยัดพลังงานไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมมีความจำเป็นมาก
สามารถดำเนินการได้โดยอาศัย
วิธีการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานหรือ
Energy Audit ซึ่งเป็นแนวทางที่เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเนื่อง
จากช่วยให้สามารถหาแนวทางการประหยัดพลังงานลงได้
ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการผลิตของผู้ประกอบการลงได้
และ
เป็นผลดีต่อเศรษกิจของประเทศ
รวมทั้งช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
คัดลอกจาก
วารสารสายใจไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พฤษภาคม 2545
|